ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน ทั้งจากปัญหาสงครามการค้า ,การประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ,ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ กลายเป็นปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ชะลอตัวลง
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เป็นบริษัทหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สะท้อนต่อผลการดำเนินงานในครึ่งแรกปี 2568 ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายรวม 2,521 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 84,543 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 571 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 19,144 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 42.76 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 1,428 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการรับรู้ผลขาดทุนจากการแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ไม่กระทบต่อกระแสเงินสด และความแข็งแกร่งของการดำเนินงานของบริษัทฯ
ขณะที่ช่วงครึ่งหลังปี 2568 “บ้านปู” เชื่อมั่นว่า ผลการดำเนินงานจะเติบโตขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากผลผลิตของทั้ง 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจถ่านหิน, ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า ยังเป็นไปตามแผน ประกอบกับยังเดินหน้าลดต้นทุนได้ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ลดต้นทุนลงได้ค่อนข้างมาก
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก คือ ราคาผลิตภัณฑ์ โดยในส่วนของราคาถ่านหิน คาดว่า จะดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกที่ราคาเฉลี่ยลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ฯต่อตัน เนื่องจากไตรมาส 3 เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยราคาล่าสุด ขึ้นไปอยู่ที่ 110 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่กำลังการผลิตถ่านหิน ยังคงเป้าทั้งปี 2568 อยู่ที่ระดับ 43 ล้านตัน ส่วนราคาก๊าซฯ ก็น่าจะอยู่ในระดับ 3-4 ดอลลาร์ฯ ซึ่งสามารถล็อคราคาปีนี้ ที่ระดับ 70%
ส่วนธุรกิจไฟฟ้า คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ จากการเติบโตของธุรกิจ AI และดาต้าเซ็นเตอร์ ในสหรัฐฯ
“ช่วงครึ่งปีหลัง มั่นใจว่า ในส่วนของกำลังผลผลิตยังมั่นคง ทั้งถ่านหิน,ก๊าซฯ และไฟฟ้า ส่วนราคาเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้แต่ในช่วง ไตรมาส3-4 จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ก็คาดว่าราคาจะดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ทั้งปีนี้ คาดว่า กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จะเติบโตใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ เฉลี่ยต่อปี 1,200-1,500 ล้านดอลลาร์”
สำหรับไฮไลท์ผลการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลักในครึ่งปีแรก 2568 มีรายละเอียด ดังนี้
กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ธุรกิจเหมือง ปริมาณการผลิตและขายรวมครึ่งแรกปี 2568 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่จากสภาวะราคาถ่านหินทั่วโลกอ่อนตัวอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน จึงกระทบต่อผลการดำเนินงานโดยรวม การมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการจัดซื้อจัดจ้างงานด้านวิศวกรรม การเงิน และดำเนินงาน ( Value Efficiency Program) ที่เหมืองสำคัญในออสเตรเลียทำให้ต้นทุนเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่เหมืองในประเทศอื่น ๆ สามารถบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ดี สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี
นอกจากนี้ยังได้เริ่มลงทุนใน PT Aneka Tambang (AKP) ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่อุตสาหกรรมแร่พลังงานแห่งอนาคต เสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้าโดยการเข้าถึงแหล่งนิกเกิลคุณภาพสูงตั้งแต่ต้นน้ำ
ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ในครึ่งปีที่ผ่านมา ปริมาณการขายอยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านปูอยู่ที่ 2.92 ดอลลาร์ฯต่อล้านบีทียู เพิ่มขึ้นจาก 1.82 ดอลลาร์ฯต่อล้านบีทียู ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เดินหน้าขยายพอร์ตจากการร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ และได้ตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการ East Texas ซึ่งจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ประมาณ 70,000 ตันต่อปี คาดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นปี 2570
นอกจากนั้น ยังมีการเข้าซื้อกิจการ Bedrock Production, LLC เจ้าของธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจกลางน้ำในแหล่งบาร์เน็ตต์ รัฐเท็กซัส หลังการทำธุรกรรมเสร็จสิ้นประมาณเดือนตุลาคมปีนี้ กำลังการผลิตรวมของ BKV จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 108 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติ 1P จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
“ธุรกิจในสหรัฐฯ ยังเติบโตได้อีกมาก ทั้งก๊าซฯ,ไฟฟ้า และCCUS ซึ่งการเข้าซื้อ Bedrock Production จะทำให้บริษัทเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ และรับรู้รายได้เต็มปีในปีหน้า”
กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน โรงไฟฟ้าในทุกประเทศมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจส่งผลให้สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรวม 969 เมกะวัตต์เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2567 ที่ 66 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ กำลังผลิตรวมของกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานคงที่ 3,935 เมกะวัตต์เทียบเท่า
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 1,130 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) ตามสัดส่วนการลงทุน ที่ดำเนินการผ่านบ้านปู เน็กซ์ มีความคืบหน้าที่สำคัญในครึ่งปีแรก โดยในญี่ปุ่น โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 14.5 เมกะวัตต์ ความจุพลังงาน 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เดือนมิถุนายน 2568 และในออสเตรเลีย มีการลงทุนในโครงการระบบกักเก็บพลังงานวูรีน (Wooreen Energy Storage System: WESS) กำลังการผลิตติดตั้ง 350 เมกะวัตต์ และความจุพลังงาน 1,400 เมกะวัตต์ชั่วโมง คาดว่าจะเปิดดำเนินการภายในปี 2570
ธุรกิจจัดการพลังงาน เดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่ Net Zero ควบคู่กับความร่วมมือระดับนานาชาติผ่านเวทีนโยบายไทย-ญี่ปุ่น และการลงนาม MOU กับ Asuene ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการลดคาร์บอนในภาคธุรกิจ และยังได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนสำหรับองค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง
สำหรับธุรกิจการซื้อขายไฟฟ้า (Energy Trading) ในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สามารถจำหน่ายไฟฟ้าจำนวนรวม 3,525 กิกะวัตต์ชั่วโมง โดยให้บริการลูกค้ารวม 1,956 ราย ซึ่งได้มีการนำระบบ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการคาดการณ์ราคาซื้อขายไฟฟ้า เพื่อยกระดับความสามารถในการทำกำไร
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งหลังปี2568 “บ้านปู” ยังเดินหน้าขยายการเติบโตภายใต้กลยุทธ์ Energy Symphonics โดยมุ่งบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ (Portfolio Optimization) หมุนเวียนเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ศักยภาพสูง ควบคู่กับการปรับโครงสร้างการดำเนินงาน (Operations & Cost Excellence) และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง รวมถึงการบริหารโครงสร้างเงินทุน (Rebalanced Capital Structure) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโตระยะยาว